21 ธ.ค. , 2024, 03:03:47 pm

Author Topic: สุขภาพ : ปัจจัยแห่งความฉลาด สมองดี เรียนเก่ง ( เด็กฉลาด )  (Read 20774 times)

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
นอนให้พอ (เด็กไทย)สูงขึ้น+ฉลาดขึ้น

การศึกษานักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ผลปรากฏว่า เด็กไทยนอนไม่พอดังนี้

    * วันธรรมดา > นอนน้อยกว่ามาตรฐานวันละ 1-1.5 ชั่วโมง
    * วันหยุด > นอนน้อยกว่ามาตรฐานวันละ 10.5-1 ชั่วโมง
    * รวมเป็น > นอนน้อยกว่ามาตรฐานสัปดาห์ละ 6-9 ชั่วโมง

การนอนไม่พอมีผลทำให้ฮอร์โมนโกรธ (growth hormone / GH) ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต(ในเด็ก)
และซ่อมแซมส่วนสึกหรอ(ทั้งเด็กและผู้ใหญ่)ลดลง การนอนไม่พอในระยะยาวส่งผลให้เด็กไทยเตี้ยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

นอกจาก นั้นการนอนไม่พอยังส่งผลให้สมองมึนงง รับรู้ช้า สมาธิลดลง ความทรงจำลดลง…
นั่นคือ ทำให้ฉลาดน้อยลง รวมทั้งไอคิว (I.Q.) ลดลงด้วย

อาจารย์ท่านกล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนให้เด็กงีบหลังอาหารกลางวัน โดยจัดที่ให้เด็กนอนวันละ 10-15 นาทีมา 3 ปีแล้ว

สหรัฐ อเมริกาสนับสนุนให้เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายนอนกลางวันมาแล้ว 2 ปี อาจารย์นายแพทย์ดอกเตอร์วิลเลียม ดีเมนท์กล่าวว่า เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง ความต้องการนอนอยู่ในช่วง 7-9 ชั่วโมง

คำแนะนำของหน่วยงานสุขภาพรัฐวิคทอเรีย ออสเตรเลียกล่าวว่า

    * เด็กประถมศึกษาต้องการนอนวันละ 9-10 ชั่วโมง
    * วัยรุ่นต้องการนอนวันละ 9-10 ชั่วโมง
    * ผู้ใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง

ข่าวดีสำหรับการนอนได้แก่...

   1. การเพิ่มเวลานอนเพียงวันละ 30 นาทีก็มีผลต่อการเรียนของเด็กๆ มาก ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นมาก
   2. การประหยัดเวลาโดยลดชั่วโมงการชมโทรทัศน์ เล่มเกมส์ หรือใช้อินเตอร์เน็ตมากเกินมีส่วนช่วยเพิ่มเวลานอนได้
   3. ถ้า นอนไม่พอ... แนะนำให้นอนชดเชยในวันหยุด หรือวันที่พอมีเวลาว่าง
      เพื่อป้องกันการเกิน "หนี้การนอน (sleep debt)" สะสม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
   4. การนอนให้พอ... มีส่วนช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้ จึงควรนอนให้เต็มที่อย่างน้อย 2-3 คืนก่อนขับรถเสมอ

« Last Edit: 02 มี.ค. , 2009, 06:55:56 am by fengshui »

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ออกกำลังให้พอ สมอง+ผลการเรียนดี

ท่าน รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงแคเธอรีน เดวิส ผู้เชี่ยวชาญโรคเด็ก และคณะ แห่งวิทยาลัยแพทย์จอร์เจีย
ทำการศึกษาในเด็กอายุ 7-11 ปีที่ใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ (sedentary) 163 คน ติดตามไป 3 เดือน

...

ท่านแบ่งเด็กๆ เป็น 3 กลุ่ม

    * กลุ่มแรกไม่ต้องออกกำลัง > ให้นั่งๆ นอนๆ แบบเดิม
    * กลุ่มที่สองให้ออกกำลังอย่างหนัก เช่น วิ่งผลัด วิ่งชิงธง กระโดดเชือก ฯลฯ คราวละ 20 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง
    * กลุ่มที่สามให้ออกกำลังอย่างหนัก เช่น วิ่งผลัด วิ่งชิงธง กระโดดเชือก ฯลฯ คราวละ 40 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง

...

ผลการศึกษาพบข่าวดีคือ

    * เด็ก ที่ออกกำลังคราวละ 40 นาทีทำคะแนนด้านการวางแผน จัดการ และทำการบ้านได้เพิ่มขึ้น 4 คะแนน
        ยกเว้นคะแนนด้านคำนวณ(คณิตศาสตร์)พบว่า เด็กที่ออกกำลังไม่ได้คะแนนเพิ่มขึ้น...
    * เด็กที่ออกกำลังคราวละ 20 นาทีทำคะแนนแบบนี้ได้เพิ่มขึ้น 2 คะแนน
    * เด็กที่ไม่ออกกำลังไม่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเลย

...

นอกจากนั้นไขมันในร่างกายของกลุ่มที่ออกกำลังยังลดลงไปในช่วง 1-2% ผลการตรวจสแกนสมองพบว่า

สมอง ส่วนหน้า (frontal lobe) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความฉลาดและความคิดมีการทำงานมากขึ้นในเด็กกลุ่มที่ออก กำลัง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังมีส่วนช่วยให้สมองส่วนนี้ทำงานได้ดีขึ้น

...

การศึกษาก่อน หน้านี้ทำในสัตว์ทดลองพบว่า การออกกำลังทำให้จำนวนเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น
เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าสัตว์ที่ไม่ได้ออกกำลัง

มีคำกล่าวว่า "สมองดี เริ่มต้นที่เท้า" หมายถึงสมองของคนที่ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำมักจะทำงานได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกแรง-ออกกำลัง

...

นอกจากนั้น การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองแตก-ตีบ ตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคซึมเศร้า 
และโรคเรื้อรังอื่นๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสมองทางอ้อม

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ท่าน อาจารย์ดอกเตอร์มาร์คัส ดโวชัค และคณะ แห่งสถาบันกีฬาเยอรมัน มหาวิทยาลัยโคโลญจน์ เยอรมนี
ทำการศึกษาในเด็กสุขภาพดี ไม่มีปัญหาการนอน และไม่ต้องใช้ยารักษาโรคประจำตัว 11 คน อายุ 12-14 ปี

การศึกษาทำ การทดลองกลุ่มตัวอย่าง 2 วันไม่เหมือนกัน...
ให้เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ "Need for speed" 60 นาทีวันหนึ่ง ( เกมขับรถแข่ง )
อีกวันหนึ่งให้ชมภาพยนต์ เช่น แฮร์รี พอทเทอร์, สตาร์เทร็ค ฯลฯ ตอนเน็ย ก่อนเวลานอน 2-3 ชั่วโมง

ผลการศึกษาพบว่า การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์มีส่วนกระตุ้นระบบประสาทอย่างรุนแรง
คือ ทำให้ชีพจรเร็วขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น และหายใจเร็วขึ้น


เมื่อตรวจคลื่นสมอง ระหว่างการนอนหลับพบว่า แบบแผนของการนอนหลับเปลี่ยนไป
โดยทำให้ช่วงการนอนหลับที่มีผลต่อการประมวลผล เก็บ และจัดหมวดหมู่ความจำลดลง

เมื่อตรวจความจำทางด้านภาษาพบว่า วันที่เด็กๆ เล่นเกมส์มีความสามารถในการจำลดลง

...

เรียนเสนอให้พวก เราที่ชอบเล่นเกมส์เปลี่ยนเวลาเล่น ให้ห่างจากเวลานอนให้มาก
เพื่อป้องกันไม่ให้เกมส์กระตุ้นสมองมากจนนอนได้น้อยลง และคุณภาพของการนอนลดลง

ถ้าเป็นไปได้... ควรพิจารณาลดเวลาเล่นเกมส์ให้น้อยลง ก่อนเล่นควรดื่มน้ำสัก 2 แก้ว เดินไปมาสัก 5-10 นาที
เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี เป็นการอุ่นเครื่อง (วอร์มอัพ / warm-up)
เนื่องจากหัวใจอาจต้องทำงานหนักระดับ "น้องๆ" หรือใกล้เคียงกับการวิ่งทีเดียว

...

การอุ่นเครื่องมีส่วนช่วยป้องกันอันตรายจากการเล่นเกมส์ได้ระดับหนึ่ง
ซึ่งแม้จะป้องกันอันตรายได้ไม่หมดก็ยังดีกว่าไม่อุ่นเครื่องเสียเลย

หลัง เล่นควรเดินอย่างน้อย 5-10 นาที หายใจลึกๆ ช้าๆ สักพัก
เพื่อให้สมองมีเวลา "เบาเครื่อง (warm-down)" ดื่มน้ำ และล้างมือด้วยสบู่
เนื่องจากเชื้อโรคหลายชนิดชอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แถวๆ คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด และแป้นเล่นเกมส์

นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์


fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
น้ำมันปลา ดีกับสมอง

อาจารย์ดอกเตอร์เบาจ์ มาเรีย วัน เกลเดอร์ แห่งสถาบันสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เนเธอร์แลนด์
ทำการศึกษาวิจัยในผู้ชายที่มีสุขภาพดี 210 คน อายุ 79-89 ปี ติดตามไป 5 ปี

ผลการศึกษาพบว่า คนที่กินปลามีสมรรถภาพสมองในด้านความจำ
และการตัดสินใจ (cognitive function) เสื่อมตามวัยน้อยกว่าคนที่ไม่กินปลา

การ ศึกษาก่อนหน้านี้ในเนเธอร์แลนด์พบว่า กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA)
ในน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมในคนสูงอายุ (dementia) และโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)

อาจารย์ดอกเตอร์เกลเดอร์แนะนำว่า คนเราควรจะกินน้ำมันปลา เพื่อให้ได้กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA) วันละ 400 มิลลิกรัม

กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA) พบมากในน้ำมันปลา พบรองลงไปในไข่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช (เช่น ข้าว ข้าวโพด ฯลฯ)
ผักชนิดหนึ่ง (leek / ผักชนิดหนึ่งคล้ายหัวหอม) และเมล็ดแฟลกซีด (flaxseed)

การศึกษาอีกรายการหนึ่ง...
อาจารย์ดอกเตอร์เมย์ เอ. เบย์ดาวน์ แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา สหรัฐฯ ทำการศึกาาในกลุ่มตัวอย่าง 2,251 คน

ผลการศึกษาพบว่า คนที่กินอาหารที่มีกรดไขมันชนิดดีมาก (EPA & DHA)
มีความเสื่อมของสมรรถภาพสมองในด้านการพูด (verbal ability) ลดลงตามวัยน้อยลง

ดอกเตอร์ วิลเลียม อี. คอนนอร์ และดอกเตอร์ซอนยา แอล. คอนนอร์ บรรณาธิการวารสารโภชนาการคลินิกอเมริกันกล่าวว่า
กรดไขมันชนิดดีมาก (EPA) มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเม็ดเลือด (anti-clotting) และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammation)

ผลดังกล่าวอาจมีผลทำให้ความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดอุดตันลดลง

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
อ่านหนังสือ นอนตอนไหนความจำดี

อาจารย์นายแพทย์เจฟฟรี เอลเลนโบเกน แห่งวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ ทำการศึกษาวิจัยในผู้ใหญ่ 48 คน อายุ 18-30 ปี
อาสาสมัครทุกท่านนอนหลับดี ไม่มีปัญหานอนไม่หลับ

อาจารย์เอลเลนโบเกนแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่มใหญ่

* กลุ่ม ที่ 1 เป็น "กลุ่มตื่น (wake group)" ให้ท่องจำคำศัพท์ที่เป็นคู่ๆ กัน 20 คู่ตอนเช้า (9.00 น.) และทำการทดสอบตอนกลางคืน (21.00 น.)
* กลุ่มที่ 2 เป็น "กลุ่มหลับ (sleep group)" ให้ท่องจำคำศัพท์ที่เป็นคู่ๆ กัน 20 คู่ตอนกลางคืน (21.00 น.) และทำการทดสอบตอนเช้า (9.00 น.)

ความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มนี้คือ กลุ่มหลับมีเวลานอนพักผ่อนคั่นก่อนทำการทดสอบ

นอกจากนั้นยังแบ่งกลุ่มตื่น และกลุ่มหลับทั้ง 2 กลุ่มเป็น 2 กลุ่มย่อย
พวกหนึ่งไม่มีการรบกวน (interference) ด้วยการให้งานท่องจำเพิ่ม พวกที่สองมีการรบกวนด้วยการให้งานท่องจำเพิ่ม

อาจารย์ ท่านออกแบบการวิจัยให้เพิ่มงานที่รบกวนความจำเดิม
โดยเพิ่มคำศัพท์อีก 20 คู่ และให้คำคู่คำแรกซ้ำกับคำศัพท์ชุดเก่า เพื่อให้ความจำมันตี(รบกวน)กันเอง

ผลการศึกษาพบว่า "กลุ่มนอน (A,C)" มีความจำ (recall rate) ดีกว่า "กลุ่มไม่ได้นอน (B, D)"

    * กลุ่มนอน+ไม่ถูกรบกวน (C) มีความจำดีกว่ากลุ่มไม่นอน+ไม่ถูกรบกวน (D) 12%
    * กลุ่มนอน+ถูกรบกวน (A) มีความจำดีกว่ากลุ่มไม่นอน+ถูกรบกวน (B) 44%

อาจารย์เอลเลนโบเกนแนะนำว่า พวกเราที่ยังต้องเรียน ต้องสอบ หรือต้องการถนอมความจำ (เช่น อายุมากขึ้น ฯลฯ) ควรนอนให้พอ...

ผลของการนอนนอกจากจะช่วยเสริมความทรงจำแล้ว ยังมีผลเพิ่มขึ้นต่อสมาธิ
โดยเฉพาะเมื่อมี "เรื่องยุ่งๆ" หรือ "เรื่องกวนใจ" มารบกวนความจำ

การศึกษาวิจัยนี้พบว่า ท่องจำก่อนนอนดีกว่าตอนเช้า

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
กินอาหารแบบไหน จึงจะสอบได้คะแนนดี

การศึกษา ก่อนหน้านี้พบว่า อาหารเช้ามีส่วนเพิ่มสมรรถภาพสมอง
เด็กๆ ที่กินอาหารเช้ามีแนวโน้มจะสอบได้คะแนนดีกว่า (และอ้วนน้อยกว่า) เด็กที่ไม่กินอาหารเช้า

...

ท่านอาจารย์ ดอกเตอร์พอล เจ. เวาเจเลอส์ และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ทา เอดมอนทัน สหรัฐฯ
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนเกรด 5 จำนวน 4,589 คน

เด็กเหล่านี้สอบ ตก 19.1% เมื่อทำการศึกษา วิเคราะห์ เจาะลึกลงไปพบว่า
เด็กๆ ที่สอบตกส่วนใหญ่กินอาหารไม่ค่อยดี ทั้งปริมาณและคุณภาพ เมื่อเทียบกับเด็กๆ ที่สอบได้คะแนนดี

...

ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่สอบได้คะแนนดีมีแนวโน้มจะกินอาหารครบทุกมื้อ (3 มื้อ) มากกว่า

ส่วนอาหารที่เด็กๆ ประเภทเรียนเก่งกินมากกว่าเด็กๆ ที่สอบตก หรือได้คะแนนไม่ดีได้แก่

    * ผัก
    * ผลไม้
    * อาหารไขมันต่ำ

...

เด็กๆ ที่เรียนดีมีแนวโน้มจะกินอาหารสุขภาพหลากหลาย (หลายชนิด) หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมากกว่า กินอาหารซ้ำซาก (เหมือนเดิม) น้อยกว่า

นอกจากนั้นเด็กๆ ที่เรียนดียังกินอาหารที่ให้กำลังงานจากแป้ง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท(เติมรำ) ฯลฯ และโปรตีนพอสมควร
ต่างจากเด็กๆ ที่สอบตกหรือสอบได้คะแนนไม่ดี ซึ่งมีแนวโน้มจะกินอาหารที่ให้กำลังงานจากไขมันสูง
เช่น อาหารทอดๆ ผัดๆ อาหารฟาสต์ฟูด(จานด่วน) อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ท่านอาจารย์แคโรลีน เอดมอนส์ และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสท์ ลอนดอน อังกฤษ
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กๆ อายุ 7-9 ปี เกือบ 60 คน
...
กลุ่มตัวอย่างได้รับการแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้ดื่มน้ำ 250 มิลลิลิตรก่อนสอบ 20 นาที อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ดื่มน้ำเพิ่ม
หลังจากนั้นให้เด็กๆ หาจุดแตกต่างระหว่างการ์ตูน 2 ตัว

ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่ได้ดื่มน้ำก่อนสอบทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มน้ำ 34% เมื่อให้ทำแบบทดสอบที่ยากขึ้น...
กลุ่มที่ได้ "น้ำเลี้ยง" ทำคะแนนได้ดีกว่า 23% และเมื่อทำการทดสอบต่อไป โดยให้ทำเกมส์อักษรไขว้...
กลุ่มที่ได้ "น้ำเลี้ยง" ก็ทำคะแนนได้ดีกว่า 11%
...

ส่วนผลการทดสอบความจำระยะสั้นพบว่า ทั้งสองกลุ่มทำได้ดีพอๆ กัน
กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ สมองของกลุ่มที่ได้ "น้ำเลี้ยง" อาจทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากไม่ภาวะขาดน้ำ
อีกกลไกหนึ่งคือ เด็กๆ ที่ไม่ได้ "น้ำเลี้ยง" อาจจะถูกความรู้สึก "หิวน้ำ" รบกวน

การศึกษาอีกรายงานหนึ่งทำโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเตนบวก สวีเดน
ทำการศึกษาในเด็กผู้ชายวัยรุ่นอายุ 15 ปี มอบปลาให้อาสาสมัครอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่กินปลามากกว่า ทำแบบทดสอบไอคิว (IQ) ได้คะแนนดีกว่า
...
การศึกษาจำนวนมากพบว่า การกินปลาช่วยให้สมองเด็กทารกทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงสมรรถภาพสมองเสื่อมลงในคนวัยกลางคน
นอกจากนั้นเด็กๆ ที่คุณแม่กินปลาในระหว่างตั้งครรภ์ (ท้อง) ก็มีพัฒนาการดีกว่า

สรุปคือ วิธีที่จะสอบให้ได้คะแนนดีๆ อาจจะต้องเริ่มตั้งแต่ให้คุณแม่กินปลาในระหว่างการตั้งครรภ์
หลังจากนั้นกินปลาเป็นประจำจนถึงวันสอบ ก่อนสอบดื่มน้ำให้มากพอ

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ศาสตราจารย์คเจล โตเรน และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเตนบวก สวีเดน
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นผู้ชายอายุ 15 ปี 3,972 คน ติดตามไปจนอายุ 18 ปี
การศึกษานี้เท่มาก เนื่องจากมีการแจกปลาให้เด็กๆ ไปกินทุกสัปดาห์
...

ผลการทดสอบไอคิวพบว่า
วัยรุ่นที่กินปลาสัปดาห์ละครั้ง > ไอคิวสูงขึ้น 6%
วัยรุ่นที่กินปลามากกว่าสัปดาห์ละครั้ง > ไอคิวสูงขึ้นเกือบ 11%
...
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า การกินปลาในระหว่างการตั้งครรภ์(ท้อง)ช่วยให้เด็กแรกเกิดมีพัฒนาการดีขึ้น
ผู้ใหญ่วัยกลางคนก็ได้รับประโยชน์จากการกินปลาเช่นกัน

อาจารย์โตเรนกล่าวว่า กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ปลามีกรดไขมันที่ดีทั้งในรูปโอเมกา-3 และโอเมกา-6
กลไกอื่นๆ คือ ปลาอาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ หรือช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท
...

ปลาที่ดีกับสุขภาพมากๆ คือ ปลาทะเลที่ไม่ผ่านการทอด
เนื่องจากการทอดจะทำให้น้ำมันปลาซึมออก (ไปในกระทะ) และน้ำมันที่ใช้ทอด (จากกระทะ) ซึมเข้าไปในเนื้อปลา

ถ้าถามว่า ปลาทูทอดกับปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ... แบบไหนน่าจะมีน้ำมันปลามากกว่า
คำตอบคือ ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศน่าจะมีน้ำมันปลามากกว่า เนื่องจากไม่ผ่านการทอด

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
อาหารจานด่วน(ฟาสต์ฟูด) อาจทำคะแนนสอบลดลง
...

การศึกษาใหม่พบว่า การกินอาหารจานด่วน หรือฟาสต์ฟูดแบบสั่งแล้วนำไปกินที่บ้าน (takeaway meals)
เช่น เบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด ฯลฯ มากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์มีผลการเรียนต่ำลง

การศึกษาทำในกลุ่มตัวอย่างนักเรียนประถมฯ มากกว่า 5,500 คนพบว่า
เด็กๆ ที่กินฟาสต์ฟูดมากทำคะแนนการอ่านเขียน (literacy) และคำนวณหรือเลข (numeracy) ตำกว่าค่าเฉลี่ยได้มากจนถึง (up to) 16%

...

เด็กอังกฤษ 1/3 มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ทำให้กลุ่มผู้บริโภคที่ห่วงใยสุขภาพรณรงค์ เพื่อห้ามโฆษณาอาหารขยะ (junk food) ทาง TV

ทุกวันนี้มีการห้ามขายอาหารไขมัน-น้ำตาลสูงในโรงอาหารโรงเรียน เครื่องจำหน่ายอาหารอัตโนมัติในอังกฤษแล้ว
...


อ.ดร.เคอร์ริ โทบิน (Kerri Tobin) และคณะวิจัย แห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ เทนเนสซี สหรัฐฯ
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็ก อายุ 10-11 ปี เปรียบเทียบผลการสอบการอ่านและเลข

ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่กินฟาสต์ฟูดมากสอบได้คะแนนการอ่านน้อยกว่าเด็กที่กินฟาสต์ฟูดน้อย 7-19 หน่วย
โดยคะแนนที่ต่ำลงแปรตามจำนวนครั้งของการกินอาหารฟาสต์ฟูด (คะแนนสอบการอ่านเฉลี่ย = 141.5)

 4-6 ครั้ง/สัปดาห์ > คะแนนลดลงเกือบ 7 หน่วย
 1 ครั้ง/วัน > คะแนนลดลง 16 หน่วย
 3 ครั้ง/วัน > คะแนนตกลง 19 หน่วย
...

ส่วนคะแนนคณิตศาสตร์ (คิดเลข) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้คะแนนเฉลี่ย 115 พบว่า
เด็กที่กินฟาสต์ฟูดบ่อยสอบได้คะแนนน้อยลง 6.5-18.5 หน่วย



fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
เด็กเรียนดี+หญิงมีคู่ นอนหลับดีจริงหรือ?
 
การศึกษาวิจัยพบว่า คะแนนสอบที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับ 'คุณภาพ' ของการนอน
โดยเฉพาะการหลับสนิทโดยไม่ตื่นกลางดึกมากกว่าเวลาหรือ 'ปริมาณ' ของการนอน

อ.ดร.เจนนิเฟอร์ คัสซินส์ (Jennifer Cousins) และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยพิทส์เบิร์ก สหรัฐฯ ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยรุ่น 56 คน

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่นอนหลับลึกกว่า, หลับสนิทมากกว่า (หลับๆ ตื่นๆ น้อยกว่า), มีผลการเรียนดีกว่า
ผลการเรียนที่ดีกว่าชัดเจนที่สุด คือ คณิตศาสตร์ (คำนวณ), รองลงไปเป็นภาษาอังกฤษและประวัติศาสตร์
...

พวกที่ง่วงง่าย และตื่นง่ายด้วย โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ (หมายถึงหลับตรงเวลา-ตื่นตรงเวลา) มีแนวโน้มจะมีผลการสอบดีกว่า

ค่าคะแนนคณิตศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการได้แก่

(1). หลับๆ ตื่นๆ น้อยกว่า
(2). หลับเร็วกว่า
(3). คุณภาพของการหลับสูงกว่า (เช่น หลับลึกมากกว่า ฯลฯ)

การศึกษาอีกรายงานหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันพบว่า
 "หญิงคู่-หญิงเดี่ยว, หญิงคู่-หญิงแยก" มีคุณภาพของการนอนไม่เท่ากันดังต่อไปนี

(1). หญิงคู่หลับสนิทดีกว่าหญิงเดี่ยว นั่นคือ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนอนหลับดีกว่าผู้หญิงที่ยังได้แต่งงาน
(2). ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และมีความสัมพันธ์ในครอบครัวดี นอนหลับสนิทดีกว่าผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือหย่าร้าง

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
สมองดี(เรียนดี+จำดี)เริ่มต้นที่เท้าเรา

สำนักข่าว Telegraph ตีพิมพ์เรื่อง 'A walk a day can keep dementia at bay, research show'
(การศึกษาวิจัยพบ)เดินทุกวันป้องกันสมองเสื่อม

pensioner (noun) = คนที่เกษียณแล้ว คนอาศัยบำนาญเลี้ยงชีพ
pension (noun) = บำนาญ

การศึกษาใหม่ทำในคนเกษียณแล้ว (pensioners) พบว่า ก
ารเดินๆๆๆ 40 นาที/วัน ช่วยให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันสมองเสื่อมได้... ถ้าทำเป็นประจำ
.
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนสูงอายุเกือบทั้งหมด มีสมองส่วน "ฮิปโปฯ" หรือฮิพโพแคมพัส
(hippocampus = สมองส่วนลึก รูปร่างคล้ายม้าน้ำ ทำหน้าที่สะสมความจำ) เหี่ยวไป ทำให้ความจำพลอยเสื่อมไปด้วย
.
อังกฤษ (UK) มีประชากรใกล้เคียงกับไทย และมีคนเป็นโรคสมองเสื่อม (dementia) ชัดเจน 820,000 ราย
.
การศึกษาใหม่ ทำโดยการตรวจ MRI (สแกนสนามแม่เหล็ก-คลื่นวิทยุ) พบว่า การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ
โดยการเดินๆๆๆ 40 นาที/ครั้ง, 3 วัน/สัปดาห์ ไม่เพียงป้องกันสมองเสื่อมเท่านั้น ทว่า, ทำให้สมองที่เสื่อมไปบางส่วนดีขึ้นได้ด้วย
.
ศ.เคิร์ค อีริคซัน และคณะจากมหาวิทยาลัยพิทส์เบิร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า การออกแรง-ออกกำลังหนักปานกลางนาน 1 ปี ทำให้สมองส่วน "ฮิปโปฯ" มีปริมาตรเพิ่มขึ้น 2% คล้ายๆ กล้ามเนื้อที่โตขึ้นได้
.
เรื่องที่น่าสนใจ คือ การออกกำลังรูปแบบต่างๆ ทำให้น้องฮิปโปฯ หนาขึ้นไม่เท่ากันได้แก่
.
(1). คาร์ดิโอ (cardio = หัวใจ) / แอโรบิค (aerobic) หรือการออกแรง-ออกกำลังเพื่อสุขภาพหัวใจ-หลอดเลือด เช่น เดินเร็ว ขึ้นลงบันได จักรยาน ว่ายน้ำ กระโดดเชือก วิ่ง ฯลฯ ทำให้น้องฮิปโปฯ หนักขึ้น 2% (1.97-2.12%)
.
(2). การยืดเส้น (stretching) เช่น กายบริหารบางท่า โยคะ ฯลฯ ทำให้น้องฮิปโปฯ หนักขึ้น 1.4 - 2% (1.4-1.43%)
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ การออกแรง-ออกกำลัง โดยเฉพาะการเดินเร็ว ทำให้สมองสร้างสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง
(BDNF / brain-derived neutrophic factor) ได้ดีขึ้น
.
สาร BDNF ช่วยเสริมการเรียนรู้ และความจำ
.
ถ้าอยากให้สมองดีไปนานๆ การเดินเร็วเป็นประจำ ซึ่งควรทำให้ได้ 30 นาทีขึ้นไปทุกวัน
(จะทำรวดเดียว หรือทำเป็นช่วงๆ แล้วนำเวลามารวมกันก็ได้), ยิ่งถ้าขึ้นลงบันไดตามโอกาส รวมเวลาให้ได้ 4 นาที/วันด้วย จะยิ่งดีขึ้น
.
การขึ้นลงบันได หรือเดินขึ้นลงเนินช่วยให้กล้ามเนื้อตั้งแต่เอวจนถึงเท้าแข็งแรงขึ้น ป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามอายุ
และทำให้กล้ามเนื้อหน้าขาท่อนบนแข็งแรง
.
กล้ามเนื้อหน้าขาท่อนบนช่วยป้องกันข้อเข่าเสื่อม โดยไปทำให้ข้อกระชับ-ไม่กลิ้งไปทางด้านข้างมากเวลาเคลื่อนไหว และป้องกันการหกล้ม (โบราณเรียกว่า "เข่าอ่อน") ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนสูงอายุกระดูกหัก (พบบ่อยที่ขาท่อนบนส่วนใกล้ข้อสะโพก)

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
อาหารดีทำไอคิวสูง

สำนักข่าว BBC ตีพิมพ์เรื่อง 'Healthy diet boosts children IQs' = "อาหารสุขภาพกระตุ้นไอคิว"

การศึกษาเอวอน (The Avon Longitudinal Study of Parents ande Children = การศึกษาแม่และเด็กระยะยาวเอวอน; Avon = ชื่อเมืองในอังกฤษ; ตีพิมพ์ใน Epidemiology and Community Health) ติดตามกลุ่มตัวอย่างเด็กตอนอายุ 3, 4, 7, 8.5 ปี จำนวน 3,966 คน
.
ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่กินอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตมากๆ เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมใส่ถุง ฯลฯ
ตอนอายุ 3 ขวบ ทำให้ไอคิวตอนอายุ 8.52 ปีลดลง
.
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จัดอาหารสุขภาพเพื่อเสริมเพิ่ม IQ เด็กได้แก่ เพิ่มอาหารสด เช่น ผักสด ผลไม้ทั้งผล ฯลฯ,
เพิ่มปลาที่ไม่ผ่านการทอด, ลดอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต โดยเฉพาะอาหารประเภท "หวาน-มัน-เค็ม"
 
เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง และเปลี่ยนขนมปังขาวเป็นขนมปังเติมรำ(โฮลวีท) อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารกลุ่มแป้งทั้งหมด
.
การศึกษาก่อนหน้านี้ในไทยพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กไทยมี IQ ต่ำได้แก่
.
(1). แม่และเด็กขาดไอโอดีน > ควรเสริมไอโอดีน โดยเฉพาะปลาที่ไม่ผ่านการทอด (เพื่อให้ได้ไขมันชนิดดีพิเศษ หรือโอเมกา-3 ด้วย),
ใช้เกลือไอโอดีน และกินอาหารทะเล 2 ครั้ง/สัปดาห์ โดยต้องเสริมตั้งแต่ก่อนแม่ท้อง (ตั้งครรภ์) 3-6 เดือน จึงจะได้ผลดีที่สุด
.
(2). เด็กขาดธาตุเหล็ก > ทำให้เป็นโรคเลือดจาง ป้องกันได้ด้วยการตรวจเลือดคัดกรอง และกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น
เลือดไก่ เลือดหมู ตับ (ตับกินน้อย นานๆ ครั้งดี  - กินมากหรือกินบ่อยทำให้เสี่ยงต่อการได้รับวิตามิน A สูงเกิน และเป็นพิษได้) ฯลฯ
หรือกินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก
.
(3). เด็กได้รับสารตะกั่ว-โลหะหนัก > เมืองไทยมีหม้อซุป-ก๋วยเตี๋ยว, ตู้น้ำกดที่เชื่อมด้วยตะกั่วจำนวนมาก
ควรหลีกเลี่ยงการกินบะหมี่-ก๋วยเตี๋ยว-อาหารที่มีน้ำซุปนอกบ้าน ยกเว้นตรวจสอบแล้วว่า ทางร้านให้หม้อสเตนเลสที่เชื่อมด้วยแก๊ส