ประวัติย่อ ขงจื้อ
แปลจากแบบเรียนภาษาจีนของมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมแห่งปักกิ่ง
โดย พันเอก ชูเกียรติ มุ่งมิตร
http://www.rta.mi.th/chukiat/story/khongjue.html-------------------------------------------------------------------------------------
ขงจื๊อ มีชื่อแบบสามัญว่า ข่งชิว บรรพบุรุษของ ขงจื๊อ เดิมเป็นชนชั้นสูงใน ประเทศซ่ง ซึ่งปัจจุบันคือจังหวัดเหอหนาน
ภายหลังพวกเขาได้อพยพไปอยู่ในประเทศหลู่ (ปัจจุบันคือซานตง) ภายหลังที่พ่อของขงจื๊อ ถึงแก่กรรม
แม่ผู้ยังเยาว์วัยได้หอบหิ้วขงจื๊อเข้าไปอยู่ในเมือง ชวีฝู่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศหลู่ ผู้เป็นแม่เป็นห่วงเรื่องการศึกษา
ของขงจื๊อเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเล็งเห็นว่าการจะมีชีวิตที่มีอนาคตนั้น ขงจื๊อต้องเป็นขุนนาง และมีวิธีเดียวที่จะบรรลุได้
คือการเรียนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นหนทางของการมีความรู้นั่นเอง
ขงจื๊อเป็นเด็กที่เชื่อฟังคำของมารดาเป็นอย่างยิ่ง ตั้งใจเรียนหนังสืออย่างจริงจังและขยันขันแข็ง
อ่านหนังสือจนลืมพักผ่อนบ่อยๆ แต่ละวันๆ มารดาต้องเตือนให้พักผ่อน เขาจึงจะหยุดพักผ่อน ซึ่งก็เป็นการพักผ่อนเพียงชั่วครู่
เขามักจะพูดว่า เรียนหนังสือต้องเรียนให้ดี การทำอะไรทั้งมวลต้องไม่หยุดกลางคัน
ตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่ม ขงจื๊อมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อายุยังไม่ถึง 20 ปี ก็เป็นผู้มีชื่อเสียงของประเทศหลู่คนหนึ่งแล้ว
เมื่ออายุ 20 ปีเศษ มีบุตรชายหนึ่งคน ฮ่องเต้ของประเทศหลู่ ได้ส่งปลา หลี่-ยวี๋ มาแสดงความยินดี
ลูกชายของขงจื๊อจึงมีชื่อว่า หลี่ ( ขง หลี่ )
แม้ว่าขงจื๊อจะมีชื่อเสียง แต่ก็เป็นผู้เปิดกว้าง ถ่อมตน มักจะพูดว่า เรื่องที่ตัวรู้นั้นยังมีไม่มาก
ดังนั้นเพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านต่างชอบเขาโดยทั่วกันขงจื๊อขณะอายุได้ 30 ปี ได้ตั้งโรงเรียนขึ้น 1 แห่ง นับเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกของประเทศจีน
ในสมัยนั้นคนรู้หนังสือ จะมีอยู่เฉพาะในหมู่ขุนนางเท่านั้น คนธรรมดาอ่านหนังสือไม่ออก แต่นักเรียนของขงจื๊อสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง
ในตอนเริ่มต้นพวกขุนนางต่างดูถูกขงจื๊อ ต่างคิดว่าคนอายุน้อยคงจะไม่สามารถสอนนักเรียนให้ดีได้
ต่อมาจึงเป็นที่ประจักษ์ว่านักเรียนที่ขงจื๊อสอนนั้นไม่เลว จึงได้นำบุตรหลานส่งเข้าเรียนที่โรงเรียนของขงจื๊อ
ขงจื๊อปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเข้มงวด วันหนึ่งท่านวิพากย์นักเรียนชื่อ เหยียนหุย ว่า
"ฉันพูดอะไร เธอพูดอย่างนั้น ตัวเองไม่มีความริเริ่ม ไม่มีการพัฒนา แล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร"
เหยียนหุย ถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะพัฒนา"
"ต้องคิดอยากพัฒนา ต้องหมั่นเล่าเรียน พินิจพิจารณามากๆ เอาแต่เรียนโดยไม่ได้พิจารณา ย่อมไม่สามารถได้รับความรู้อย่างสูง
อย่างเช่น ฉันบอกเธอว่า มุมหนึ่งของโต๊ะเป็นมุมฉาก เธอควรจะพิจารณาว่าอีก 3 มุม ก็เป็นมุมฉาก
และสรุปว่าโต๊ะนี้เป็นโต๊ะ 4 เหลี่ยม ไม่ใช่โต๊ะกลม"
นักเรียนอีกคนหนึ่งถามว่า "ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร จึงจะทำให้ตัวเองมีความรู้มาก ๆ "
"เรื่องนี้ต้องเรียนให้มากขึ้น พบเหตุปัญหาอะไรล้วนต้องถามว่าทำไม เมื่อไม่เข้าใจ อย่าทำเป็นเข้าใจ
ทำอย่างฉันนี่ เมื่อมีคนถามปัญหาฉัน มีบ่อยๆ ที่ฉันตอบไม่ได้ ฉันก็นำปัญหานั้นไปถามคนอื่น อย่างนี้ เวลานานไปความรู้ย่อมมากขึ้นตามมา"
"อาจารย์พูดถูก" เหยียนหุยเห็นด้วย แต่ถามต่ออีกว่า "หากไม่มีท่านอาจารย์ พวกเราจะเรียนจบได้ความรู้ได้อย่างไร"
"ที่เธอพูดนั้นไม่ถูก เธอต้องรู้ว่า
บนพื้นโลกนี้มีครูอยู่มากมาย หากมีคน 3 คนเดินมาในนั้นอย่างน้อย ต้องมี 1 คนเป็นครูของเรา แน่นอน เขาทำอะไรถูกต้องพวกเราก็ทำตามที่เขาทำ หากเขาทำอะไรไม่ดีงามพวกเรารู้ก็อย่างทำตามนั้น"
นักเรียนให้ความเคารพขงจื๊ออย่างมาก มีบางคนเรียนกับขงจื๊อถึง 12 ปี ยังไม่อยากจบ ขงจื๊อสอนลูกศิษย์ได้ประมาณ 3,000 คน
มีอยู่ 72 คนบรรลุถึงความเป็นผู้มีชื่อเสียง บางคนยังได้เป็นขุนนางของประเทศด้วย